วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ณรงค์ กิตติขจร
พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 " พ.อ.ณรงค์เป็นลูกชายของจอมพลถนอม กิตติขจร และเป็นลูกเขยของจอมพลประภาส จารุเสถียร เพราะได้สมรสกับนางสุภาพร กิตติขจร บุตรสาวคนที่ 3 ของจอมพลประภาส ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐประหาร (รัฐประหารในประเทศไทย 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514) เมื่อการรัฐประหารเสร็จสิ้นลง ได้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิวัติราชการ (กตป.) และเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
หลังจากเหตุการณ์รัฐประหารครั้งนี้แล้ว พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เป็นที่คาดหมายว่าจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้เป็นพ่อ เพราะด้วยสถานการณ์ในเวลานั้น ปรากฏข่าวการคอร์รัปชั่นกันอย่างกว้างขวางรวมทั้งการใช้อำนาจไปในทางที่มิชอบด้วย เช่น กรณีเฮลิคอปเตอร์ทหารตกที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2516 เป็นต้น ทางรัฐบาลได้แก้ปัญหาด้วยการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามผลการปฏิบัติราชการ หรือ กตป. ขึ้นมาเพื่อจัดการปัญหาการคอร์รัปชั่น แต่มี พ.อ.ณรงค์ ซึ่งเป็นลูกชายนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดูแลซะเอง จึงไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถจัดการปัญหาได้อย่างแท้จริง' ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา ขึ้น ประชาชนส่วนหนึ่งที่โกรธแค้นจึงได้เผาทำลายอาคารของสำนักงานแห่งนี้ ที่ตั้งอยู่ ณ. สี่แยกคอกวัว เสียราบคาบ
ส่วนบทบาทของ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์และเป็นผู้กราดยิงกระสุนจริงจากเฮลิคอปเตอร์ลงมายังผู้ชุมนุมที่อยู่เบื้องล่างด้วย แต่ พ.อ.ณรงค์ ก็ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้มาโดยตลอด หลังสถานการณ์ทางการเมืองสงบลง พ.อ.ณรงค์ได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย และก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาในปี พ.ศ. 2524 ชื่อพรรค " เสรีนิยม " ได้ลงสมัคร สส จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับเลือกเป็น สส ในสมัยนั้น ล่าสุด ในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2546 นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ ได้ออกหนังสือมา 2 เล่ม "ลอกคราบ 14 ตุลา ดักแด้ประวัติศาสตร์การเมืองไทย" และ "พันเอกณรงค์ กิตติขจร 30 ปี 14 ตุลา ข้อกล่าวหาที่ไม่สิ้นสุด" โดยมีเนื้อหาอ้างอิงจากเอกสารราชการลับในเหตุการณ์ 14 ตุลา

ไม่มีความคิดเห็น: